ถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องซักผ้าดีๆ เพื่อใช้ในครอบครัว อยากให้ลองพิจารณา LG รุ่นที่มีฟังก์ชั่น True Stream ควบคู่กับ 6 Motion ซึ่งมีความเหนือชั้นและน่าสนใจกว่ายี่ห้ออื่นในตลาดจริงๆ ลองมาดูบทความรีวิวครึ้งนี้ก่อนตัดสินใจ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกๆในประเทศไทย ที่รีวิวจากการใช้งานจริง และมีจุดยืนที่ชัดเจนในการเขียนอย่างเป็นกลางที่สุด
LG WD-12080TDS ที่มาแนะนำในครั้งนี้ เป็นเครื่องซักผ้ารุ่นที่มีฟังก์ชั่น True Stream และ 6 Motion ที่ราคาต่ำที่สุดจากทั้งหมด 5 รุ่นที่ LG ได้วางตลาดในช่วงไตรมาส 2/2554 โดยมีราคาเปิดตัวที่ 27,900 บาท ในขณะที่รุ่นท็อปสุดที่มีฟังก์ชั่นอบผ้าด้วย อยู่ที่ 79,900 บาท
ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยมองหรือสนใจเครื่องซักผ้า LG สักครั้งเลย จนกระทั่งวันที่ 25 พ.ค. 2554 ที่ผ่านมา LG ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเครื่องซักผ้า LG 6 Motion Inverter Direct Drive ทันทีที่เห็นเครื่องซักผ้ามาโชว์ในงาน ก็ต้องแปลกใจว่า เดี๋ยวนี้ LG ดีไซน์เครื่องซักผ้าได้สวยงามมากขึ้นจนเรียกว่าสวยที่สุดเท่าที่มีขายในประเทศไทยแล้วขณะนี้ จากปีที่แล้วที่เคยเห็นตู้เย็น LG มีลวดลายสีชมพูบนพื้นผิวสีขาวไข่มุก นั่นถือว่าเป็นการปฏิวัติการออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเลยทีเดียว ที่เรามักจะเห็นเป็นกล่องสี่เหลี่ยม สีพื้นๆ เรียบๆ จากรูปข้างบน ผมเชื่อว่าใครเห็นก็ต้องอยากได้ไปไว้ที่บ้านอย่างแน่นอน เพราะโดดเด่นด้วยขอบประตูถังซักที่แวววาวขนาดใหญ่ ต่างจากยี่ห้ออื่น ที่เป็นพลาสติกสีขาวหรือเทาธรรมดาๆ
รุ่นที่เป็น 6 Motion จะเป็นขอบประตูแวววาว แต่ถ้าเป็นรุ่นที่มีฟังก์ชั่น True Stream รวมเข้าไปด้วย ประตูถังซักจะเป็นสีดำครับ ผมว่ามันสวยน้อยลง ราคาสูงขึ้น เพราะคุณสมบัติดีขึ้น
เครื่องซักผ้าทั่วไป จะใช้น้ำ 25 ลิตร ต้มด้วยฮีตเตอร์ตามภาพซ้าย แต่ระบบ True Stream ของ LG ในภาพขวานั้น ใช้น้ำน้อยลงเพียง 13 ลิตร ต้มด้วยฮีตเตอร์ที่มีขนาดเท่ากัน 2100 วัตต์ แต่จะมีฮีตเตอร์ตัวเล็ก 1100 วัตต์ อยู่ด้านบนของตัวเครื่อง พ่นไอน้ำร้อน 2.5 ลิตรลงมายังผ้าในถังซัก แม้ว่าจะใช้ฮีตเตอร์สองตัว แต่โดยรวมแล้วประหยัดกว่าอย่างแน่นอน เพราะฮีตเตอร์ตัวใหญ่ทำงานในระยะเวลาสั้นลง เปรียบเหมือนการต้มน้ำในปริมาณน้อยลง น้ำจะร้อนเร็วกว่า รวมทั้งไอน้ำร้อนที่ฉีดลงมา มันมีอนุภาคเล็กกว่าน้ำปกติถึง 1600 เท่า ทำให้เข้าถึงเนื้อผ้าได้ดีและทั่วถึง จะเห็นได้ว่าประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ และประหยัดเวลากว่าแบบเดิมที่ต้มน้ำนานก็ย่อมเปลืองไฟกว่านั่นเอง
LG อ้างว่านี่เป็นครั้งแรกที่ถังซักมีการหมุน 6 ทิศทาง (6 Motion) ซักผ้าได้สะอาด เหมาะสมกับทุกเนื้อผ้า และถนอมผ้าเสมือนซักด้วยมือ ขณะที่ยี่ห้ออื่นนั้น มีเพียงการหมุน 1-2 แบบเท่านั้น
ในวันที่ใช้งานครั้งแรก ผมทดลองใส่ผ้าประมาณ 3-5 ชิ้น แล้วนั่งดูการหมุนของถังซักแต่ละแบบจนเข้าใจ แต่จ้องนานๆไม่ได้ครับ เวียนหัว ผมใช้เครื่องซักผ้าฝาหน้ามานาน ก็เพิ่งจะเข้าใจหลักการว่าผ้าสะอาดได้อย่างไร เพราะเห็นการเคลื่อนไหวของผ้า การฉีดน้ำ การพ่นไอน้ำ การล้าง การปั่นหมาด ก็จากเครื่องซักผ้ารุ่นนี้แหละครับ ถ้าใส่ผ้ามากเกินไป ผ้าจะเคลื่อนไหวได้น้อย ลดการกระทบกันภายในถังซัก ทำให้ผ้าไม่ค่อยสะอาด
อีกอย่างที่แปลกใจ คือ เครื่องทำงานเงียบมากๆ แม้ว่าจะอยู่ในขั้นตอนปั่นหมาดที่ความเร็ว 1200 รอบต่อนาที เครื่องก็แทบไม่มีอาการสั่น มันเงียบและนิ่งจริงๆครับ เปรียบเทียบกับเครื่องซักผ้าฝาหน้า Siemens และเครื่องซักผ้าฝาบน Samsung ที่ผมเคยใช้ มันต่างกันเยอะมาก ถ้าใครวางไม้แขวนเสื้อหรือไม้หนีบผ้าไว้บนเครื่องซักผ้าแบบเก่าที่มีมอเตอร์ขับสายพาน รับรองว่ามันสั่นจนหล่น นี่แหละครับข้อดีระบบ DirectDrive ที่ใช้มอเตอร์ต่อตรงกับแกนถังซัก หายห่วงเรื่องอายุของสายพานที่ค่อยๆเสื่อมสภาพไปได้เลย
ประตูถังซัก ผิวด้านนอกเป็นพลาสติก ต้องระมัดระวังอย่าให้เป็นรอย ในขณะที่ยี่ห้อใช้กระจกชิ้นเดียวเว้าลึกลงไปเป็นหลุม ไม่มีพลาสติกปิดด้านนอก แต่ผมว่าแบบประตูเว้าลึกลงไป มันไม่สวยครับ
ในการติดตั้ง จะต้องหมุนปรับขาตั้งทั้ง 4 ตัวให้พอดีกับพื้น ไม่ให้เครื่องโยกเยก มิฉะนั้นเครื่องจะสั่นแรงมากจนน่ากลัว และกลไกข้างในเครื่องอาจจะเสียหายได้
ตัวกรองปั้มระบายน้ำทิ้ง ถ้าลืมเหรียญหรือของชิ้นเล็กๆไว้ในเสื้อผ้า มันจะหล่นมารวมตรงนี้
สายน้ำทิ้งที่ให้มา มีความยาวมากพอโดยไม่จำเป็นต้องวางเครื่องไว้ใกล้ท่อน้ำทิ้ง ก่อนใช้งานครั้งแรกจะต้องถอดสลักยึดกันกระแทกขณะขนส่งสินค้าที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน เป็นสกรู 6 เหลี่ยมขนาดค่อนข้างใหญ่รวม 4 ตัว แต่ LG ไม่ได้แถมประแจมาให้ ขอให้ช่างติดตั้งที่มาส่งเครื่อง ช่วยถอดสลักยึดออกให้ได้ครับ
ปลั๊กไฟมีความยาวมากพอ ทำได้แข็งแรง แน่นหนา ปลอดภัยตามมาตรฐาน
สติ๊กเกอร์โลหะ ออกแบบมาสวยงาม บอกถึงการรับประกันมอเตอร์ถึง 10 ปีเต็ม ไม่เหมือนบางยี่ห้อที่ใช้สติ๊กเกอร์กระดาษหรือพลาสติกราคาถูก เห็นแล้วขัดตาจนต้องลอกมันทิ้งไป
ด้านบนมีสติ๊กเกอร์บอกหมายเลขโทรศัพท์ศูนย์บริการ LG ทั้งหมายเลข 02 และหมายเลขที่โทรฟรี 1800-545454 จำง่ายดีครับเพราะหมายเลขโทรฟรีจะขึ้นต้นด้วย 1800 อยู่แล้ว ตามด้วย 545454 ซึ่งตรงกับปุ่มอักษร LGLGLG บนโทรศัพท์ (กลายเป็น 1800 LG LG LG)
ด้านหน้าตัวเครื่องโดดเด่นด้วยปุ่มหมุนแบบ Jog Dial ที่ไม่ใช่สวิตช์แบบ Mechanics ที่ต้องออกแรงบิดเยอะ มันเป็นปุ่มหมุนแบบดิจิตอลที่หมุนไปได้เรื่อยๆไม่มีสินสุด ซึ่งทนทานและเสียได้ยาก ตัวปุ่มทำด้วยวัสดุอย่างดี เงาเหมือนกระจก
โลโก้นูน LG แวววับ สะท้อนความหรู ดูสวยงามกว่ายี่ห้ออื่นที่เพียงแค่สกรีนโลโก้ด้วยสีดำหรือเทา
ช่องใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มและผงซักฟอก ถ้าผ้าสกปรกมาก ต้องใส่ผงซักฟอกทั้งสองช่องและเลือกโปรแกรมการซักให้เหมาะสม แต่การซักปกติจะใช้ผงซักฟอกจากช่องใหญ่ทางซ้ายเพียงอย่างเดียว
เมนูที่สำคัญๆ มีทั้งภาษาอังกฤษและไทย แปลมาได้ดี เข้าใจง่าย
เมื่อกดสวิตช์เปิดเครื่อง จะเห็นไฟสีสวย แต่แสงไฟจะไม่ค่อยสู้แสงเมื่อใช้งานกลางแจ้ง
ประตูถังซักเปิดได้สุดแค่นี้ครับ นึกว่าจะเปิดได้เกือบ 180 องศาเหมือนยี่ห้อทางฝั่งยุโรป
ภายในถังซักรุ่นนี้ ซึ่งรองรับผ้าได้ถึง 8 กิโลกรัม
เราสามารถปรับรูปแบบการซักล้าง (Rinse), อุณหภูมิ (Temp.) และรอบการปั่นหมาดได้
เมื่อปิดประตูถังซักแล้ว ก็ยังมองเห็นข้างในได้พอสมควร ในภาพเห็นฟองได้ชัดเจน
เมื่อเครื่องซักผ้าเริ่มทำงาน จะล็อคประตูทันที มีไฟสีส้มรูปกุญแจแสดงสถานะการล็อค เมื่อล็อคแล้ว เครื่องจะชั่งน้ำหนักผ้า เพื่อคำนวณปริมาณน้ำและระยะเวลาซักที่เหมาะสม
เครื่องซักผ้าบอกว่าอีก 40 นาทีจะซักเสร็จ ก็ 40 นาทีจริงๆครับ
สมมุติว่าเครื่องซักผ้ามีปัญหาขณะซัก และไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ แม้ว่าจะแปล Error code ที่แสดงบนหน้าจอจากคู่มือแล้ว ก็ยังมีอีกวิธี คือใช้ฟังก์ชั่น Smart Diagnosis กดปุ่ม Temp ค้างไว้ 3 วินาที ส่งสัญญาณรหัสเสียงยาว 17 วินาทีผ่านโทรศัพท์ไปยังศูนย์บริการใหญ่ของ LG ที่มีเครื่องถอดรหัสสัญญาณเสียงนี้ จะทำให้ศูนย์บริการทราบปัญหาขัดข้องที่แท้จริงได้ทันที โดยไม่ต้องส่งช่างเข้ามาตรวจสอบ พร้อมแนะนำวิธีแก้ปัญหาหรือตัดสินใจส่งช่างเทคนิคไปที่บ้านเมื่อความจำเป็น (เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายทุกครั้งในการ On-site service) โดยเสียงจะออกมาจากบริเวณปุ่ม Power
คู่มือหน้านี้ บอกถึง Error code ที่แสดงบนหน้าจอแต่ละรหัส ว่ากำลังเกิดปัญหาขัดข้องอะไร
ทดลองซักเสื้อเชิ้ตในโหมด Easy care ดูว่าผ้าจะยับขนาดไหน ถ้าไม่ยับมาก ก็อาจไม่จำเป็นต้องรีด
เหลืออีก 35 นาที กำลังเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 คือซักล้างแบบ Normal และขั้นตอนที่ 4 คือปั่นหมาด
ตั้งความเร็วรอบปั่นหมาดไว้ที่ 1000 รอบต่อนาที
น่าประทับใจมากครับ รอบปั่น 1000 รอบต่อนาที แต่ผ้าแทบไม่ยับเลย ต่างจากเครื่องซักผ้าฝาหน้า Siemens ที่ใช้ประจำ ที่หลังปั่นหมาด 600-1200 รอบต่อนาที ผ้าจะยับเหมือนกระดาษ Double A ที่ขยำเป็นลูกบอล แล้วคลี่ออกมา ต้องรีดก่อนใส่ทุกตัว และใช้เวลารีดนาน ใช้ไอน้ำความร้อนสูง นอกจากนี้ยังประทับใจเรื่องความหมาดของผ้า ที่ปั่นผ้าจนเกือบแห้งสนิทจริงๆ ตากไว้ไม่นานก็เก็บเข้าตู้ได้เลย ความสะอาดของผ้า ดูแล้วก็สะอาดดี ไม่มีสิ่งสกปรกหรือผกซักฟอกตกค้าง
สีส้มตรงนี้ คือปลายของท่อทั้งสองท่อที่มีการปั้มน้ำผงซักฟอกขึ้นมาฉีดผ้าในขณะถังซักกำลังหมุน และอีกท่อหนึ่งที่เป็นไอน้ำร้อนจากฮีตเตอร์ตัวเล็กด้านบน จากการนั่งสังเกตขณะอยู่ในกระบวนการซัก มันทำงานเกือบตลอดเวลา
เมื่อซักเสร็จ ควรเปิดให้ถังซักได้ระบายความชื้นไว้สักพัก
ถ้าต้องการนำผ้ามาปั่นหมาดเพียงอย่างเดียว ก็ใช้เวลา 8-13 นาที ขึ้นอยู่กับความเร็วรอบที่เลือกใช้
เรามาดูกันว่าแต่ละโหมดการทำงานที่มีให้เลือกที่ลูกบิดนั้น มีอะไรบ้าง เริ่มจากโหมด Refresh (ขจัดรอยยับ/กลิ่นอับ) โหมดนี้ใช้เวลา 20 นาที ด้วยไอน้ำร้อนอนุภาคขนาดเล็กจะช่วยให้รอยยับและกลิ่นอับนั้น มีน้อยลง คล้ายๆกับการพ่นไอน้ำลงบนผ้าของเตารีดไอน้ำ แต่จำกัดผ้าเพียง 3 ชิ้นเอง!
โหมด Allergy Care (ลดการเกิดภูมิแพ้) LG อ้างว่าขจัดสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ในผ้าได้มากถึง 99.9% (เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร หรือขนแมว) โดยใช้ไอน้ำร้อน 100 องศาสลายสารภูมิแพ้ให้แตกตัวออกจากเนื้อผ้า แล้วปั่นรอบสูงให้สลัดออกจากเนื้อผ้าอย่างหมดจด ซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบัน BAF โหมดนี้รองรับผ้าได้ครึ่งถัง คือไม่เกิน 4 กิโลกรัม
โหมด Duvet (ชุดเครื่องนอน) ใช้เวลา 1.41 ชั่วโมง ซักด้วยน้ำอุณหภูมิ 40 องศา รอบปั่น 1000
โหมด Easy Care (ผ้าที่ไม่ต้องรีด) ซักด้วยน้ำอุณหภูมิ 40 องศา รอบปั่น 1000
โหมด Mix (ผ้าทั่วไป) ใช้ได้กับผ้าทุกชนิดที่ซักรวมกันได้ไม่เกิน 4 กิโลกรัม ด้วยน้ำอุณหภูมิ 40 องศา
โหมด Cotton Eco (ผ้าฝ้ายแบบประหยัด) สำหรับผ้าที่สกปรกน้อย ซักแบบประหยัดพลังงาน ใช้น้ำอุณหภูมิ 60 องศา รอบปั่น 1200
โหมด Cotton (ผ้าฝ้าย) เน้นประสิทธิภาพการซักที่ดีขึ้น ถังซักจะหมุนแบบหลายทิศทาง ใชัน้ำอุณหภูมิ 40 องศา รอบปั่น 1200 ใช้เวลาซักนานกว่าแบบ Eco
โหมด Sports Wear (ชุดกีฬา) จำกัดผ้าไม่เกิน 2 กิโลกรัม ใช้เวลาซัก 54 นาที ด้วยน้ำอุณหภูมิ 40 องศา ไม่มีขั้นตอนการชั่งน้ำหนักผ้า เริ่มซักทันที ใช้รอบปั่น 800
โหมด Dark Wash (ผ้าสี) เหมาะสำหรับผ้าสี ป้องกันสีตก จำกัดผ้าไม่เกิน 2 กิโลกรัม ใช้เวลาซัก 61 นาที ด้วยน้ำอุณหภูมิ 30 องศา ไม่มีขั้นตอนการชั่งน้ำหนักผ้า เริ่มซักทันที ใช้รอบปั่น 800
โหมด Delicate (ผ้าบอบบาง) เหมาะกับผ้าที่อาจเสียหายง่าย เช่น เสื้อสตรี ชุดชั้นใน จำกัดผ้าไม่เกิน 2 กิโลกรัม ใช้เวลาซัก 47 นาที ด้วยน้ำอุณหภูมิ 30 องศา ไม่มีขั้นตอนการชั่งน้ำหนักผ้า เริ่มซักทันที ใช้รอบปั่น 800
โหมด Wool (ผ้าขนสัตว์) ต้องเป็นผ้าขนสัตว์แท้ ที่ระบุว่าสามารถซักกับเครื่องซักผ้าได้ จำกัดผ้าไม่เกิน 2 กิโลกรัม ใช้เวลาซัก 35 นาที ด้วยน้ำอุณหภูมิ 40 องศา ไม่มีขั้นตอนการชั่งน้ำหนักผ้า เริ่มซักทันที ใช้รอบปั่น 800
โหมด Incentive 60 เป็นโปรแกรมพิเศษ ซักเสร็จภายใน 60 นาทีเป๊ะ มีประสิทธิภาพในการซักที่ดีและประหยัดพลังงาน จำกัดผ้าไม่เกิน 4 กิโลกรัม ด้วยน้ำอุณหภูมิ 60 องศา ไม่มีขั้นตอนการชั่งน้ำหนักผ้า เริ่มซักทันที ใช้รอบปั่น 1000
โหมด Quick 30 เป็นโปรแกรมพิเศษสำหรับผ้าสกปรกน้อย ซักเสร็จภายใน 30 นาที จำกัดผ้าไม่เกิน 2 กิโลกรัม ด้วยน้ำอุณหภูมิ 30 องศา ไม่มีขั้นตอนการชั่งน้ำหนักผ้า เริ่มซักทันที ใช้รอบปั่น 800
โหมดสุดท้าย Silent Wash (ซักกลางคืน) เหมาะกับผ้าสีและผ้าขาวที่สกปรกไม่มาก ซักในเวลากลางคืนอย่างเงียบๆ ลดการสั่นของตัวเครื่อง ไม่รบกวนขณะที่หลับนอน จำกัดผ้าไม่เกิน 4.5 กิโลกรัม ด้วยน้ำอุณหภูมิ 40 องศา ไม่มีขั้นตอนการชั่งน้ำหนักผ้า เริ่มซักทันที ใช้รอบปั่น 800
สามารถตั้งเวลาและโปรแกรมซักล่วงหน้าได้มากถึง 19 ชั่วโมง เวลาที่บอกบนหน้าจอเครื่อง หมายถึงอีกกี่ชั่วโมงจะซักเสร็จพร้อมตากผ้าได้ทันที ไม่ใช่อีกกี่ชั่วโมงที่จะเริ่มซัก เช่น ขณะนี้เที่ยงคืน จะตื่นมาตากผ้าเวลา 7 โมงเช้า ก็ตั้งเวลาไปที่ 7.00 ชั่วโมง เมื่อถึง 7 โมงเช้า เครื่องจะส่งเสียงเตือนว่าซักเสร็จพร้อมหยิบออกตากได้ทันที ซึ่งมันอาจจะเริ่มซักไปแล้วตั้งแต่ใกล้ๆ 6 โมงเช้า
ถาดใส่น้ำผาปรับผ้านุ่มและผงซักฟอก สามารถยกถอดออกมาทำความสะอาดได้ทั้งชิ้น
สรุป
เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องซักผ้าฝาบน 8 กิโลกรัม (ราคา 8 พันบาท) กับอีกเครื่องแบบฝาหน้าที่เป็นซัก-อบ 5.2 / 2.6 กิโลกรัม (ราคา 4 หมื่นกว่าบาท) ที่ใช้อยู่ประจำแล้ว บอกตรงๆว่าเครื่องซักผ้า LG เครื่องนี้ แม้เป็นรุ่นต่ำสุดที่มีฟังก์ชั่น True Stream ราคา 27,900 บาท แต่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมากครับ ทั้งในเรื่องความสะอาดของผ้า ที่ไม่มีคราบตกค้าง ไม่ต้องซักซ้ำ ความยับของผ้าที่น้อยมากจนแทบจะไม่ต้องรีดเลย ระยะเวลาในการซักก็ไม่นาน เวลาที่บอกบนหน้าจอนั้น เชื่อถือได้ และสุดท้ายดีไซน์ที่ยอดเยี่ยม สวยงาม ยี่ห้ออื่นระดับไหนก็ทาบไม่ติด ส่วนเรื่องข้อเสียของรุ่นนี้ ยังหาไม่เจอจริงๆ ยังไม่แน่ใจว่าประหยัดไฟและน้ำกว่าเครื่องเดิมหรือไม่ ในคู่มือบอกว่า ใช้กำลังไฟฟ้า 2100 วัตต์ และน้ำ 50 ลิตร ก็ถือว่าค่อนข้างประหยัดเมื่อเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่น เครื่องรุ่นนี้ WD-12080TDS มีสีเดียวคือสีขาว ถ้ารุ่นแพงขึ้นไปอีก จะเป็นสีเงิน ยังไม่แน่ใจว่าเครื่องสีขาวจะคงสีขาวเหมือนช่วงที่ซื้อใหม่ไปอีกนานแค่ไหน เพราะ LG รุ่นเก่าๆที่เคยเห็น ไม่นานสีขาวก็กลายเป็นสีเหลือง จึงไม่ควรให้เครื่องซักผ้าได้รับแสงอาทิตย์โดยตรง และใช้ผ้าคลุมป้องกัน UV ที่ป้องกันแสงและน้ำฝน
แม้ว่ายี่ห้อ LG อาจจะยังไม่ใช่ยี่ห้อที่ขึ้นชื่อในเรื่องการบริการและความทนทาน แต่ด้วยยอดขายอันดับ 10 ปีซ้อน และเริ่มเห็นถึงพัฒนาการทั้งการบริการหลังการขาย ช่องทางการขาย ศูนย์บริการ และดีไซน์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ LG ได้รับความนิยมมากขึ้นและน่าสนใจไม่แพ้ยี่ห้อทางฝั่งยุโรปแล้ว
สำหรับสเปคและรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ http://www.lg.com/th/home-appliances/washing-machine/LG-front-loader-WD-12080TDS.jsp หรือร่วมเล่นเกมส์ลุ้นรับเครื่องซักผ้า LG ได้ที่ www.lg.com/th/dancingclothes ภายในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ซึ่งในเว็บจะอธิบายการเคลื่อนที่ของถังซักแบบ 6 ทิศทางด้วยการเต้นเปรียบเทียบที่เข้าใจได้ง่าย
ขอขอบคุณผู้เรียบเรียงเขียนบทความนี้และท่านที่สละเวลาอ่านจนจบ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านคงได้สาระความรู้บ้างไม่มากก็น้อย
เชิญเยี่ยมชมสินค้าของเรา